เทศน์เช้า

เทศน์ก่อนเวียนเทียน วันอาสาฬหบูชา

๒๔ ก.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์ก่อนเวียนเทียน วันอาสาฬหบูชา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอาสาฬหบูชา วันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้าเทศนาว่าการเป็นครั้งแรก การเทศนาว่าการเป็นครั้งแรก ครั้งแรกไง แสดงธัมมจักฯ แสดงธัมมจักฯ นี้จักรเคลื่อนไปในโลก เหมือนกับโลกนี้มืดอยู่ตลอดเวลาแล้วสว่างขึ้นมา เหมือนกับคนมืดตลอดไม่เคยมีไฟแล้วไฟเปิดขึ้นมา ไฟเปิดขึ้นมาสำหรับผู้ที่มีดวงตาจากภายในจะรู้สึกเห็นแสงสว่าง

แต่มันมืดบอดสำหรับทุกๆ คน พวกเราชาวพุทธมันมืดบอด มืดบอดเพราะไม่เข้าใจเลย เราไม่เข้าใจเรื่องธรรม ธรรมคืออะไรไม่รู้เรื่อง เข้าใจแต่ว่ามีเงินมีทองเท่านั้นเป็นความปรารถนาของเรา แต่ธรรมคือเครื่องอยู่ของหัวใจนี้ไม่สำคัญ เห็นไหม ไม่สำคัญเพราะไม่รู้จัก ถึงจะสำคัญก็ไม่รู้จัก

เหมือนไก่ได้พลอย เห็นไหม เป็นชาวพุทธพุทธที่ทะเบียนบ้าน ไม่รู้จักเรื่องของศาสนา ปีหนึ่งเราเวียนเทียนกัน ๓ หนเท่านั้น มีเวียนเทียนมีวิสาขฯ มีมาฆะฯ มีอาสาฬหฯ เท่านั้น เห็นไหม แล้วหัวใจ ปีหนึ่งมันกินข้าว ๓ หน มันจะอิ่มได้อย่างไร? มันอยู่ไม่ได้ เพราะมันต้องอาศัยอาหารมันตลอดไป

ธรรมคือความพอใจไง ธรรมคือความสุขของใจไง ธรรม เห็นไหม ธรรมอันละเอียดอ่อนเข้าไป มันยิ่งสุขขึ้นไปมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่มันแสวงหายาก เห็นไหม พระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก จนทางนี้เป็นเลือดไปหมดเลย พระพุทธเจ้าผ่านไป “ที่นี่ที่เชือดโคของใคร?” ที่เชือดโคของใคร

ทำขนาดนั้นนะ ทำเพื่อจะหาความสุขของใจ เห็นไหม มันละเอียดอ่อน ละเอียดอ่อนที่ว่ามันอยู่ในหัวใจแต่เราจับต้องมันไม่ได้ แล้วไม่มีสิ่งที่ชี้บอก เห็นไหม ไม่มีธรรมชี้บอก เราจะไม่รู้สิ่งนี้เลย แต่ธรรมมีชี้บอกอยู่ คนก็ไม่สนใจ เห็นไหม เป็นชาวพุทธกัน สนใจใฝ่หากันแต่การประกอบสัมมาอาชีวะ

การประกอบสัมมาอาชีวะนั้นเป็นเรื่องความจำเป็นต่อชีวิตจริงอยู่ แต่มันต้องมีเวลาหยุดพักของมัน เวลากลางวันทำงาน เวลากลางคืนเราจะนอนพัก เห็นไหม เรายังนอนพักอยู่ แต่หัวใจมันทำงานตลอด เวลากลางวันก็ทำงาน นอนพักอยู่มันก็ฝัน หัวใจไม่เคยหยุดไม่เคยพักผ่อนเลย ถ้าหัวใจไม่เคยพักผ่อนเลย มันจะมีความทุกข์มาก

ในศาสนาพุทธที่สอนว่า “ศาสนาพุทธนี้ประเสริฐ” ประเสริฐตรงนี้ ประเสริฐตรงที่ว่ามันมีตั้งแต่ทานเรื่องหยาบๆ เห็นไหม เรื่องเราจะเวียนเทียนกันนี่เป็นเรื่องอามิสทาน เรื่องของหยาบๆ เป็นการชักนำเข้ามา ให้เข้าไปผู้ที่ทรงธรรม ผู้ที่ทรงธรรมแสดงธรรมให้เราฟัง เราเข้าใจเรื่องของธรรม เราแสวงหาเรื่องของใจ พอใจมันก็มีอาหารกิน

พอใจมีอาหารกิน มันจะรู้สึกว่าเรามีที่พึ่ง แต่ก่อนเวลามันทุกข์มันยาก มันร้อนขึ้นมา มันไม่มีที่พึ่ง มันคิดหาแต่สิ่งที่หาที่พึ่ง เห็นไหม อะไรก็พึ่งไม่ได้ๆ แต่มันยังไม่อิ่มเต็มของมัน มันยังบกพร่องสิ่งใดอยู่มันก็แสวงหาสิ่งนั้น เข้าใจว่าสิ่งนั้นจะเป็นของที่พึ่งพาอาศัยได้ ก็แสวงหาไปๆ มันก็เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นที่พึ่งตลอดไป

แต่ถ้าสมหวังแล้วมันก็ไม่เป็นที่พึ่งของใจได้ ไม่มีสิ่งใดสมหวังของใจแล้วใจพอใจ สิ่งนั้นไม่เคยมี สิ่งที่ไม่เคยมีเรายังขาดตกบกพร่องอยู่ เราก็แสวงหาไป เข้าใจว่าสิ่งนั้นจะเป็นของที่ว่ามันจะเป็นที่พึ่งอาศัยได้

แต่มันจะเป็นไปไม่ได้เพราะ! เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจังมันไม่คงที่ มันแปรสภาพ มันเสื่อมสภาพตลอดเวลา แล้วหัวใจของเรามันก็เป็นอนิจจัง เห็นไหม มันคิดวันนี้คิดพอใจเท่านี้ วันหน้ามันคิดมากขึ้นไปมันจะพอใจสิ่งที่มากขึ้นไปอีก มันมีความปรารถนามากขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดกับไม่มีที่สิ้นสุด มัน ๒ ชั้นบวกกันเข้าไป เราก็เลยต้องเป็นขี้ข้าของมัน พยายามแสวงหาสิ่งที่ว่ามีความสุขที่ไหนเพื่อจะปรนเปรอใจของเรา ไม่มีความสุขหรอก! ความสุขนี้คือความสงบของใจ ถ้ามันดีดดิ้น มันคิดออกไป มันจะเป็นประสามันออกไป มันจะไม่มีความพอใจของมัน มันหมุนเวียนตลอดไปสภาวะอย่างนั้น

สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องโลกียะ มันเป็นเรื่องของโลกที่เราหมุนเวียนกันไป เราเข้าใจเฉพาะสิ่งนี้ได้ แต่เราไม่เข้าใจเรื่องธรรม เห็นไหม เรื่องธรรมคือความหยุดคิด ธรรม เห็นไหม ตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องการจาคะ เรื่องการสละออก เรื่องบุญเรื่องกุศล

บุญกุศลนี่เป็นกิริยา เป็นรถเป็นเรือ เป็นกิริยาของธรรมที่จะพาเข้าไปหาหลักความจริง มันต้องมีสิ่งที่ว่าจะพาเข้าไปหาหลักความจริง มันถึงจะค้นความจริงเจอ สิ่งที่เป็นหา เห็นไหม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สรรพสิ่งทั้งหลายนี้เป็นอนิจจัง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายนี้ก็เป็นอนัตตา เห็นไหม ความเคลื่อนไป สภาวะของรถของเรือมันก็เสื่อมสภาพไปเหมือนกัน

ความพอใจของเรา เราพอใจอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วมันก็เสื่อมสภาพไป เราคิดสิ่งใดขึ้นมา สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ว่าไม่คงที่เหมือนกัน ความคิดเราก็ไม่คงที่ แต่เราคิดย้ำคิด เห็นไหม สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีแล้วมันเป็นปัจจัตตัง รู้เข้ามาจากหัวใจ หัวใจกระทบสิ่งใดเป็นปัจจัตตัง เห็นไหม โอปนยิโก ความรู้สึกของเราอยากจะให้คนอื่นรู้สึก

วุฒิภาวะของหัวใจของแต่ละสัตว์แต่ละดวง เห็นไหม เด็กเล็กๆ เขาจะเรียกร้องของเขาตามประสาของเขา โตขึ้นมาสภาวะของใจมันจะเจริญขึ้นมาเป็นสภาวะของมัน แล้วผู้ที่ประสบการณ์จากหัวใจจากภายใน มันจะเห็นเรื่องลึกลับอย่างนี้

เรื่องของกิเลส เรื่องของความไม่รู้ เรื่องของความสะเพร่าของใจ เห็นไหม มันนอนใจ มันคิดว่ามันอยู่ในหัวใจ อยู่ในร่างกายของเราแล้วมันจะปลอดภัยไง มันสนุกคิดของมันนะ มันคิดมันพยายามแสวงหา มันคิดของมันแล้วพยายามทำสิ่งต่างๆ ที่มันจะพอใจ แล้วมันก็ปลดเปลื้องความทุกข์เอาไว้ในหัวใจ ขับถ่ายความคิดของมัน สิ่งที่คิดนะเป็นความทุกข์ในหัวใจ แล้วมันก็หายไป แล้วมันก็คิดใหม่ แล้วมันก็ย้ำใหม่ อยู่อย่างนั้นตลอดไป นั่นมันพัฒนาไหม?

ถ้าคนมันหยาบ มันไม่เข้าใจ แล้วมันคิดว่าไม่มีใครรู้ไง ทำสิ่งใดก็ทำได้ แต่คนที่ผ่านมาสิ่งนั้น จะเห็นเรื่องสภาวะสิ่งนี้ในหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกมีความคิดอย่างนี้ทุกคน ความคิดอย่างนี้มันทำให้เราเดือดร้อน แต่เราคิดว่ามันไม่เดือดร้อนเพราะเราเชื่อมั่นตัวเราเองว่าเราสามารถทำได้ แล้วไม่มีใครรู้ไปกับเรา

แต่ในโลกนี้ความลับไม่มี ไม่มีหรอกความลับ เพราะใจดวงใดทำ ใจดวงนั้นรู้ เห็นไหม กรรมมันเกิดขึ้นตรงนี้ไง นี่วิบากกรรม วิบากกรรมเกิดจากว่าเราทำส่วนบุญกุศลขนาดไหน เราสร้างคุณงามความดีมาขนาดไหน เห็นไหม เราจะทำอะไรประสบความสำเร็จ เราจะมีความสุขพอสมควร

แต่ถ้าเราไม่เคยทำสิ่งนั้นมาเลย เรามีแต่บาปอกุศลมา ทุกข์ยากนะ ชีวิตนี้ทุกข์ยากมาก เราพยายามดำรงชีวิตอยู่ มันก็มีความทุกข์ความยากมาก ความทุกข์ยากของเรา มันเป็นสิ่งใดเราก็ไม่เข้าใจ ว่ามันเป็นความทุกข์ยากๆ เราก็เพียงแต่ว่าเรียกร้องพยายามแสวงหาสิ่งที่ว่ามันจะสมความปรารถนา

มันไม่สมความปรารถนาไปได้เพราะว่า! เพราะว่าเราไม่เคยทำมา เราไม่เคยฝากเงินในธนาคาร แล้วจะไปเบิกเงินในธนาคารเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราไม่มีหลักฐานในเรื่องการเบิกจ่ายในธนาคารนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน เราไม่เคยทำไว้ในหัวใจของเรานะ ไม่ใช่ธนาคารใดเลย สัจธรรม เห็นไหม ทำบุญต้องไปทำกับพระ ทำกับพระแล้วพระจะเป็นไปรษณีย์ว่าส่งบุญของเราเข้าไป ทำกับพระนั้นมันเป็นปฏิคาหกในเรื่องการกระทำ แต่การกระทำแล้วหัวใจเป็นที่รับรู้ไง สัจจะต่างหากเป็นสิ่งความจริง บุญกุศลทำคุณงามความดีเป็นความดี ทำความบาปอกุศลเป็นบาปอกุศล อริยสัจนั้นต่างหากเป็นสิ่งนั้นนะ

พระนะอยู่ของท่าน ถ้าเราไม่สนใจก็อยู่ของท่าน ถ้าเราสนใจท่าน มันก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับเรา เราก็ไม่สนใจ เห็นไหม เพราะพระมันก็มีสิ่งว่ามีทั่วไป พระเป็น ๔๐๐,๐๐๐ องค์ในประเทศไทยก็มีส่วนว่ามีดีบ้าง มีเสียบ้าง ธรรมชาติของคนหมู่มาก คนหมู่มากต้องเป็นไปสภาวะนั้นเพราะอะไร? เพราะว่าศาสนานี้ประเสริฐ คนเข้ามาบวชแล้วต้องดีหมดสิ

ดีหมดถ้าเราปฏิบัติตามธรรม ธรรมวินัยนี้เหมือนกฎหมาย ถ้ากฎหมายนี่ใครทำตามกฎหมายเป็นคนดีหมดเพราะอยู่ในกรอบของกฎหมาย ธรรมและวินัยนี้ เห็นไหม เป้าหมายของการบวช เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าตีสิ่งนี้แตกขึ้นไป ใจนี้มันจะปลดเปลื้องความผูกพันของใจ ความผูกพันของใจ เห็นไหม เราทำอะไรเข้ามา เราจะเดือดร้อนสิ่งใดมา เราต้องหลบหนีใคร เราจะเข้าบ้านเรา

อันนี้ก็เหมือนกัน ความคิดสิ่งใด การกระทำสิ่งใดหลบปลดเปลื้องเสร็จแล้วสุดแล้ว มันจะจบสิ้นลงที่หัวใจ มันจบเรื่องกันที่ใจของเรา มันกลับมาหาตัวเราเอง แล้วใจดวงนี้มันเป็นผู้กระทำออกไป สิ่งที่มันกระทำออกไป มันรับรู้ของมัน รับรู้ของมันอันนี้เป็นอะไร เขาว่าเวลาคนจะตาย เห็นไหม โบราณเขาบอกเวลาคนจะตายนี่ให้นึกถึงพุทโธ พุทโธ ให้นึกถึงพระไว้ จะได้ไปคุณงามความดี ทุกคนจะบอกแค่นี้เหรอ แค่ที่เราจะตายเรานึกถึงความดีแล้วความชั่วมันจะไม่มีในหัวใจเหรอ บอกแค่นี้ หลักการอยู่แค่นี้

แต่ความจริงทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะอะไร?

เพราะคนเราเวลาจะตาย มันไม่มีสิ่งใดที่เราจะคิดได้หรอก มันเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่ว่าสิ่งที่ว่าเคยกระทำไว้ มันคิดได้ สิ่งที่ปลดเปลื้องไป สิ่งที่ว่านอกเหนือไปจากนั้น มันจะคิดไม่ออก มันคิดไม่ออกเพราะอะไร เพราะความกลัวตาย ความต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก มันจะคิดแต่สิ่งที่เคยกระทำ สิ่งที่เคยกระทำมันเป็นความจริงใช่ไหม ความจริงของใจที่มันประสบ มันจะออกมา

กรรมนิมิตอันนี้เวลาเกิด คนที่จะไปดีนี่ไปดีเลย เห็นว่าเป็นคุณงามความดี ไปตายแบบมีความสุขของเขา แต่คนที่มีบาปอกุศลมากจะทุรนทุราย จะไปตามสิ่งที่ไม่ดี เพราะอะไร เพราะนี้กรรมนิมิต นิมิตคือกรรมที่มันเกิดจากหัวใจ วิบากกรรมอันนี้มันฝังอยู่ที่ใจของสัตว์โลกทั้งหมด แล้วสัตว์โลกก็มีสิ่งนี้ในหัวใจ

แล้วเวลาบอกว่าคิดถึงคุณงามความดี คิดถึงคุณงามความดี..

นั่นมันเป็นการบอกจากข้างนอก สิ่งที่คนบอกข้างนอกกับความเป็นจริงของใจที่มันจะเป็นไป อันนี้ต่างหากมันถึงเป็นความจริงของใจทุกๆ ดวง มันถึงต้องการฝึกฝนไง มันถึงต้องมีการกระทำไง เราถึงต้องสร้างบุญกุศลไง สุขใจไว้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แล้วเราจะไม่เสียใจว่าเรามีโอกาสแล้วเราไม่ทิ้งโอกาสของเราไป

ถ้าเราไม่ฝึกใจไว้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้นะ เราทิ้งโอกาสของเราไป ตายไปแล้วจะไปเสียดายทีหลังว่าเราไม่สร้างคุณงามความดี อย่างเช่นเราจะเวียนเทียนต่อไปข้างหน้า นี่เป็นบุญกุศลของเราเพราะเราระลึกถึงต้นขั้ว ต้นขั้วนะ

หลักของธรรม ธัมมจักฯ นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมขึ้นมาก่อน แล้วพระอริยสาวก “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” เพราะปฏิบัติตามธรรมสิ่งนี้ เข้าใจสิ่งนี้ตามความเป็นจริง พระอัญญาโกณฑัญญะเข้าใจธรรม เป็นอริยสาวกเป็นพยานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา แล้วสิ่งนี้มีอยู่ เราเคารพสิ่งนี้ไง บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เราเวียนเทียนกัน รอบแรกให้นึกถึงพุทโธ พุทโธ ธัมโม ธัมโม สังโฆ สังโฆ เพื่อหัวใจของเรา รัตนตรัยนี้เป็นแก้วสารพัดนึก ถ้าเรานึกได้ เห็นไหม มันก็เป็นบุญกุศลของเรา แก้วสารพัดนึกก็เป็นอยู่ของแก้วสารพัดนึก ความทุกข์ของเรา ความเห็นของเราก็เป็นความเห็นของเรา มันแยกกันคนละส่วน มันเลยเป็นประโยชน์ต่อกันไม่ได้

แต่ถ้าเราเข้าถึงสัจจะความจริง เห็นไหม เราทำใจของเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามความเป็นจริง มันจะเข้าถึงหลักจากหัวใจของเรา แล้วใจของเราจะเป็นถึงว่าเป็นสิ่งที่สมความปรารถนาตลอดไป เพราะมันจะชุ่มเย็นจะร่มเย็น

ใจร่มเย็นนั้นเป็นใจของเรา ถ้าใจร่มเย็นของเรา เราประเสริฐของเรา เราพอใจของเรา มันจะเป็นไปประสาของเรา อันนี้เป็นประโยชน์กับสัตว์โลกที่จะทำดวงนั้น ถ้าสัตว์โลกทำอย่างนั้นแล้วมันจะเป็นสมบัติส่วนบุคคล เห็นไหม สมบัติส่วนตนของใครก็ของคนนั้น เป็นสมบัติคนนั้นที่จะทำได้

เดี๋ยวเราจะพาทำวัตรก่อน ทำวัตรสวดมนต์นะ สวดมนต์เสร็จแล้วให้เวียนเทียน เหตุจะเวียนเทียนจะเกิดจากตรงนี้ แล้วเราจะทำจริงจัง มันจะได้บุญกุศลของผู้นั้น ผู้นั้นทำจริงจังก็เป็นของคนนั้น อย่าทำเล่นนะ เจตนาให้มันบริสุทธิ์แล้วเจตนาทำดีๆ แล้วเป็นบุญกุศล

บุญกุศลเป็นนามธรรม แต่เราพยายามทำขึ้นมาให้เป็นรูปธรรมของใจของเรา ให้ใจเราสัมผัส ถ้าใจเราสัมผัสได้ ระลึกถึง พุทโธ พุทโธ ธัมโม ธัมโม สังโฆนี่สะเทือนโลกธาตุเลย สะเทือนโลกธาตุสะเทือนถึงผู้รู้ของเรา สะเทือนถึงความรู้สึกของเรา ถ้าความรู้สึกเราสะเทือนขึ้นมา นั่นล่ะกิเลสมันสะเทือนที่มันอยู่

แต่เราไม่ทำให้หัวใจเราสะเทือน ไม่สะเทือนใจ ไม่เศร้าใจ ไม่เศร้าหมองในหัวใจ เห็นไหม ถ้าใจนึกถึงความตาย มันเศร้าหมองขึ้นมา มันสะเทือนถึงกิเลส มันจะรู้สึกตัวไง สำนึกตัว รู้สึกตัว อันนี้เป็นบุญกุศล บุญกุศลคือความสัมผัส ความซับไว้ของความรู้สึกทั้งหมด

ฉะนั้น ตั้งใจนะ เราจะทำวัตรกัน มาทำวัตรกันก่อน